วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

บทความที่ 4 มนุษย์ต่างดาว

มนุษย์ต่างดาว(Alien) เป็นสิ่งที่เชื่อว่าอาจมีอยู่จริงแต่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ ลักษณะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกโลก ซึ่งในความคิดของคนส่วนใหญ่ มักจะวาดภาพ มนุษย์ต่างดาว ลักษณะคล้ายคนแต่ ตัวเขียว หัวโต ตาโต เคยมาเยือนโลกโดยมากับ จานบิน
สิ่งมีชีวิตต่างดาว   และ terrestris  ถูกกำหนดให้เป็นชีวิตที่ไม่ได้เกิดจากโลก มันมักจะหมายถึง สิ่งมีชีวิตต่างดาว หรือเรียกเพียงว่า มนุษย์ต่างดาว (หรือมนุษย์ต่างดาวในอวกาศเพื่อให้แตกต่างจากคำจำกัดความอื่น ๆ ของมนุษย์ต่างภิภพหรือมนุษย์ต่างดาว) รูปแบบชีวิตเหล่านี้ตามสมมติฐานของชีวิตช่วงระยะเริ่มจากสิ่งมีชีวิตจำพวกแบคทีเรียขั้นพื้นฐานเหมือนสิ่งมีชีวิตที่เรียบง่ายไปไกลจนถึงขั้นที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเกินกว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า มนุษย์
สมมติฐานหลายข้อได้รับการเสนอเกี่ยวกับพื้นฐานที่เป็นไปได้ของชีวิตต่างดาวจากมุมมองทางชีวเคมี วิทวัทนาการ หรือลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ทางชีวเคมี
ทุกชีวิตบนโลกนั้นมีพื้นฐานอยู่บนองค์ประกอบทางเคมี 26 ชนิด อย่างไรก็ดี, ประมาณ 95% ของชีวิตนี้ถูกสร้างขึ้นอยู่กับองค์ประกอบเพียงหกอย่างเหล่านี้ คือ คาร์บอน  ไฮโดรเจน ไนตรเจน ออกซิเจน ฟอสฟอรัสและกัมมะถัน อักษรย่อคือ CHNOPS ทั้งหกองค์ประกอบเหล่านี้เป็นรูปแบบของการสร้างบล็อกขั้นพื้นฐานของแทบทุกชีวิตบนโลกในขณะที่ส่วนใหญ่ขององค์ประกอบที่เหลือจะพบในปริมาณเพียงเล็กน้อย
ประเภทของมนุษย์ต่างดาว
ได้มีการแบ่งประเภทตามลักษณะของผู้ที่อ้างว่าได้พบเจอมนุษย์ต่างดาวไว้ ดังนี้
·         เกรย์ (Grey) หมายถึง สีเทา โดยประเภทนี้พบบ่อยที่สุด มีลักษณะหัวโต ตาโตสีดำ รูปร่างคล้ายมนุษย์ ไม่มีขน นิ้วทุกนิ้วเรียวยาว ผิวหนังสีเทา จึงเป็นที่มาของชื่อ สื่อสารกันด้วยการใช้โทรจิต
grey

·         อเลสเฮนกา (Aleshenka) ตั้งตามชื่อหมู่บ้านแห่งหนึ่งในรัสเซีย ค้นพบเมื่อปี พ.ศ.2539 โดยหญิงสติไม่สมประกอบผู้หนึ่ง มีการบันทึกการพบเจอไว้ด้วยเทปของตำรวจ แต่ภายหลังพบว่าแท้จริงแล้วเป็นเพียงตัวอ่อนของมนุษย์เท่านั้น
Aleshenka

·         กึ่งมนุษย์กึ่งสัตว์เลื้อยคลาน (Reptilian humanoid) ตัวสีเขียว รูปร่างคล้ายมนุษย์ มี 2 ขา แต่มีผิวหนังและลักษณะคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน


·         ดรอป้า (Dropa) ตัวเล็กมาก ก่อนหน้านี้มีหลักฐานว่าเคยพบบริเวณพรมแดนจีน-ธิเบต ราว 1 หมื่นปีก่อน แต่ต่อมาพบว่าเป็นหลักฐานเท็จ และเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องกุขึ้น

·         คล้ายหุ่นยนต์ (Robot) รูปร่างคล้ายหุ่นยนต์ในภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ เนื้อตัวเป็นโลหะ ขนาดค่อนข้างใหญ่
·         คล้ายวิญญาณ (Soul) ม่มีกายเนื้อ สีขาว คล้ายผีหรือวิญญาณ (ตามคำบอกเล่าของ ศ.ดร.น.พ.เทพพนม เมืองแมน)
·         นอร์ดิก (Nordics) รูปร่างเหมือนคน สูง 6-7 ฟุต ดวงตาสีฟ้า

การเผชิญหน้ากับมมนุษย์ต่างดาว
ได้มีการแบ่งประเภทการเผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาวไว้ 5 ระดับ คือ
·         การเผชิญหน้าระดับที่หนึ่ง (Close Encounters of the First Kind) หมายถึง การได้พบปะหรือเจอะเจอกับจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวในระยะที่ไกลห่างออกไป เช่น จานบินลอยอยู่บนท้องฟ้า หรืออยู่ห่างจากผู้ที่พบเจอในระยะ 50 หลา เป็นต้น
·         การเผชิญหน้าระดับที่สอง (Close Encounters of the Second Kind) หมายถึง การพบปะกับจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวคล้ายกับการเผชิญหน้าระดับที่หนึ่ง แต่อยู่ในระยะที่ใกล้ขึ้น เช่น อาจพบจานบินที่จอดอยู่บนพื้น เป็นต้น
·         การเผชิญหน้าระดับที่สาม (Close Encounters of the Third Kind) หมายถึง การได้เข้าไปในจานบินจะด้วยสาเหตุใดก็ตามแต่สามารถจดจำประสบการณ์ได้และสามารถออกมาได้ ในปี 1977 ได้เอาชื่อนี้มาสร้างหนังเรี่อง มนุษย์ต่างโลก
·         การเผชิญหน้าระดับที่สี่ (Close Encounters of the Fourth Kind) หมายถึง การที่ถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไป อาจจะถูกทดลองด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา แต่สามารถจดจำประสบการณ์ได้และออกมาได้
·         การเผชิญหน้าระดับที่ห้า (Close Encounters of the Fifth Kind) หมายถึง การที่มีการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวในระดับที่เป็นกิจจะลักษณะ สามารถสื่อสารกันได้ความระหว่างมนุษย์โลกกับมนุษย์ต่างดาว

มนุษย์ต่างดาวในประเทศไทย
สำหรับในประเทศไทย มีสถานที่แห่งหนึ่งที่มีผู้อาศัยอยู่ที่นั่นอ้างว่า พบเจอสิ่งประหลาดคล้ายจานบินบินไป บินมา อยู่บ่อยครั้ง คือที่ เขากะลา จ.นครสวรรค์ ถึงขนาดมีการจัดตั้งชมรมหรือสมาคมขึ้นมาในท้องถิ่นเพื่อศึกษาทางด้านนี้โดยเฉพาะเลยทีเดียว
                          ซึ่งชาวต่างประเทศที่ ทำงาน วิจัย ติดตามเกี่ยวกับ มนุษย์ต่างดาว ก็จะติดต่อ กับทีมงานที่นี้ และมีการ พิสูจน์อยู่เรื่อยๆโดย ค้นพบว่า ที่เขากะลา ใน นครสวรรคื นั้น เป็นประตูมิติ (รูหนอน) ที่ใหญ่ มี สามที่ในโลก หนึ่งในนั้นอยุ่ในไทย  (แต่ ที่อื่นก็มีแต่เจอไม่บ่อยเท่า เขากะลา)  ก่อนหน้าที่จะรู้ว่ามีมุษย์ต่างดาว นั้น   ชาวบ้านแถบนั้น จะเห็น แสงไฟบนยอดเขา ตอนกลางคืน เป็นประจำ  ซึ่งนั้นก็คือ การเปิด ประตูมิตินั่นเอง และต่อมา มีชายชรา สามารถนั่งสมาธิ ติดต่อกับ มนุษย์ต่างดาวได้  โดยตอนแรกเรียกออกมาให้คนในครอบครัวได้เห็นก่อน  หลังจากนั้นก็เริ่มมีการติดต่อมาตลอด โดยทางสามธิ  (เพราะ มนุษย์ต่างดาวมีจิตและอารยธรรมที่สูงพัฒนาแล้วนั่นเอง)  และ มีการพิสูจน์โดยการเรียกออกมาหลายต่อหลายครั้ง  แบบเห็น ใกล้ๆเลย  แต่แปลกคือ เขาจะไม่ลงมา (เพราะอากาศในโลกมนุษย์ มีพิษสูง ถ้าลงมาก็ต้องใส่ชุดเหมือน ชุด อวกาศ )และมีการพิสูจน์ครั้งใหญ่  โดยครั้งนั้นมีผุ้เชี่ยวชาญมาจากอเมริกา และผุ้ที่สนใจด้านนี้ มาจากหลายๆประเทศ ตอนนั้นเรียกออกมาได้ประมาณเกือบ 20 ลำ (ทุกครั้งที่ติดต่อจะนัดวันเวลามา  โดยบอกผ่าน คุณตาที่นั่งสมาธิ  ซึ่ง ทุกๆครั้งก็มาตามกำหนดเวลาโดยคลาดเคลื่อนไป ไม่มากนัก)
ครั้งนั้น มีสมเด็จพระเทพของชาวไทยเรา เข้าร่วมด้วย  โดยปรากฏฝูงจานบิน สิบกว่าลำ บินมาปรากฏอย่างรวดเร็ว  และให้เห็นหลายนาทีก่อนที่จะหายไปเร็วกว่าแสง   ซึ่งผุ้คนที่มาดูเป็นหมื่นคน ได้เห็นเหมือนกันหมด ตอนนี้ชายท่านนั้นเสียชีวิตไปนานแล้ว   แต่ก็ได้สอนลูกสาวของตน ที่เป็นถึงข้าราชการ  ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว   และจัดตั่งกลุ่ม ประสานงาน UFO เขากะลา ขึ้นมา


เครดิต

บทความที่ 3 ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง

ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง (九尾の妖狐, คิวบิโนะโยโกะ) ปีศาจในตำนานญี่ปุ่น คำว่า
  • คิว () หมายถึง เก้า
  • บิ () หมายถึง หาง
  • โยโกะ ( 妖狐) หมายถึง ปีศาจจิ้งจอก

โดยสามารถหมายถึง คิทซึเนะ () - จิ้งจอกในนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่นมีพลังพิเศษต่างๆ
ตามตำนาน ปิศาจจิ้งจอกเก้าหางมีที่มาจากอินเดีย, จีน และญี่ปุ่น ซึ่งมีนัยว่าเป็นปิศาจตนเดียวกัน คาดว่าน่าจะเป็นเรื่องของการสืบทอดวัฒนธรรมจากอินเดียไปยังจีนตามเส้นทางสายไหม และไปยังญี่ปุ่นโดยการเผยแพรทางวัฒนธรรม
การกำเนิดจิ้งจอกเก้าหาง
ตามตำนานกล่าวไว้ว่า จิ้งจอกเก้าหางเกิดจากปีศาจจิ้งจอกที่บำเพ็ญตบะเป็นเวลานานนับปี เมื่อมีอายุครบ 1000 ปี ปีศาจจิ้งจอกตนนั้น จะกลายเป็นปีศาจจิ้งจอก 9 หาง ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นจะมีพลังและวิชาอาคมที่แก่กล้ามาก และสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้
จิ้งจอกเก้าหางของอินเดีย
ตามเรื่องเล่าที่กล่าวถึงในนิทานพื้นบ้านของชาวอินเดีย มีการกล่าวถึง สัตว์ที่มีรูปร่าง จิ้งจอกผสมงู มีลักษณะเป็นนรสิงห์ เพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงหน้า บายนเทวลัย
จิ้งจอกเก้าหางของจีน
มีปรากฏอยู่ในตำนานเรื่อง ห้องสิน” ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับไสยศาสตร์ และภูตผีปิศาจ เรื่องราวมีอยู่ว่า พระเจ้าโจ้วหวาง(ติวอ๋อง) แห่งราชวงศ์ซางได้ไปสักการะเจ้าแม่หนี่วาในวิหารของเจ้าแม่ ตามปกติ รูปเคารพเจ้าแม่จะมีผ้าแพรบางๆ กั้นใบหน้าอยู่ บังเอิญขณะนั้นมีลมพัดผ่านมา ทำให้ผ้าแพรเปิดออก โจ้วหวางได้เห็นใบหน้ารูปเคารพของเจ้าแม่หนี่วางดงามยิ่งนัก จึงออกปากมาว่า เจ้าแม่งดงามขนาดนี้ หากได้มาเป็นมเหสีน่าจะดี เมื่อเจ้าแม่หนี่หวาได้ยินดังนั้น จึงกริ้วมาก รับสั่งให้ปิศาจจิ้งจอกเก้าหาง ปิศาจพิณ และปิศาจไก่ มาทำให้โจ้วหวางเกิดความลุ่มหลงจนบ้านเมืองล่มสลายเพื่อเป็นการลงโทษ แต่อย่าให้ราษฎรต้องเป็นอันตราย
เจ้าแม่หนี่วา

ในขณะนั้น มีนางงามนางหนึ่ง นามว่า ต๋าจี่ ลูกสาวของเจ้าเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งถูกส่งตัวเข้าวังเพื่อเป็นพระสนมของโจ้วหวาง ต๋าจี เป็นหญิงสาวที่มีรูปโฉมโนมพรรณงดงามมาก แต่หญิงงามมักอาภัพนัก จิ้งจอกเก้าหางได้แอบลอบฆ่าต๋าจี และสวมรอยเป็นต๋าจีเสียเองเพื่อลักลอบเข้าวัง
เมื่อโจ้วหวางได้พบต๋าจีก็รู้สึกพึงพอใจในตัวต๋าจีเป็นอย่างมาก เนื่องจากต๋าจีมีรูปโฉมงดงามราวกับเจ้าแม่หนวี่วา กิริยาวาจาไพเราะอ่อนหวานราวกับเทพธิดามาแต่สรวงสวรรค์ชั้นฟ้า ยากที่จะหาหญิงใดในแผ่นดินเสมอเหมือน จิ้งจอกเก้าหางจึงได้เริ่มการทำให้โจ้วหวางลุ่มหลงในตัวนาง ซึ่งไม่ได้เป็นการยากเย็นกระไรเลย เพราะนอกจากมีความงดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยังสามารถร้องเพลง และเล่นดนตรีได้ไพเราะ อีกทั้งร่ายรำได้งดงาม ทำให้โจ้วหวางนานวันก็ยิ่งลุ่มหลงนางจนถอนตัวไม่ขึ้น และนางก็ได้ส่งเสริมให้โจ้วหวางทำแต่เรื่องชั่วร้าย ฆ่าคนเหมือนผักเหมือนปลาอยู่เสมอมา
ในที่สุดจิ้งจอกเก้าหางในร่างตาจี๋ ก็ได้ยุให้โจ้วหวางสร้างหอสอยดาวขึ้น ยังความทุกข์ยาก และนำมาซึ่งความตายแก่ราษฎรจำนวนมากมายมหาศาลที่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานมาสร้างหอสอยดาวนี้
แต่ในที่สุด ปิศาจทั้งสามก็ถูก เจียงจื่อหยา ซึ่งได้ฝึกวิชาบนภูเขาจนกลายเป็นผู้วิเศษ ได้รับบัญชา เทียนมิ่ง นักรบจากสวรรค์ให้มาปราบทุกข์เข็ญของเหล่าราษฎร พร้อมทั้ง นาจาศิษย์เอก
ปิศาจทั้งสามถูกจับตัวไปให้เจ้าแม่หนวี่วา ตัดสินโทษ จิ้งจอกเก้าหางเห็นว่าตนสามารถทำงานที่เจ้าแม่มอบหมายให้ ทำไมจึงยังมีโทษอีก เจ้าแม่หนวี่วากล่าวว่าได้ใช้ให้ไปทำลายแต่เพียงโจ้วหวางเท่านั้น หาได้สั่งให้ไปเข่นฆ่าผู้คนมากมายเช่นนี้ไม่ การทำเกินกว่าคำสั่งแบบนี้จำต้องถูกลงโทษ ทั้งปิศาจพิณ และปิศาจไก่จึงถูกลงโทษให้ตายตกไปตามกัน ส่วนจิ้งจอกเก้าหางนั้นหลบหนีการลงโทษไปได้
จิ้งจอกเก้าหางของญี่ปุ่น
ในตำนานของญี่ปุ่นได้กล่าวถึงจิ้งจอกเก้าหางว่า เป็นปิศาจที่หลบหนีมาแฝงตัวอยู่ในราชสำนักของญี่ปุ่นในรัชสมัยของจักรพรรดิโทบะ หลังจากที่หลบหนีมาจากอินเดีย และจีนมาแล้ว โดยแฝงตัวมาในร่างของหญิงงามนามว่า ทามาโมะ มาเอะ พระสนมของจักรพรรดิโทบะ นางทำให้จักรพรรดิโทบะลุ่มหลงในความงามของนาง และสุขภาพของจักรพรรดิโทบะก็ทรุดโทรมลงทุกวัน จึงได้มีการอัญเชิญนักพรตจากหอองเมียวมาทำพิธีปัดรังควาน พบว่าในวังมีปิศาจจิ้งจอกเก้าหางสีทองแฝงตัวอยู่
เมื่อความแตก ทามาโมะ มาเอะ จึงได้คืนร่างเป็นจิ้งจอกสีทองตัวมหึมา มีเก้าหาง เหาะหลบหนีไปบนท้องฟ้า กองทหารของจักรพรรดิโทบะได้ไล่ตามไปจนถึงที่ราบสูงนาสุ และต่อสู้กับปิศาจจิ้งจอกเก้าหาง และสามารถสยบจิ้งจอกเก้าหางลงได้ กลายเป็นหินซ็ทโชเซกิ ซึ่งกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นมาจนปัจจุบันนี้
                ว่ากันว่า ทามาโมะมาเอะ เป็นหญิงงามที่ฉลาดล้ำ กลิ่นกายหอมหวนดั่งกลีบซากูระแรกแย้ม และอาภรณ์ไร้รอยยับ (ยุคสมัยในบันทึกตรงกับเฮอัน คาดว่า เสื้อผ้าคงจะเป็น จูนิฮิโตะ 12 - 20 ชั้น แบบนางในราชสำนัก ) ผู้ชาย รวมถึง พระจักพรรดิ์ถึงกับหลงไหล หัวปักหัวปำ
ถือว่าเป็นปีศาจชื่อดัง ที่วรรณกรรม จีน ญ๊่ปุ่น รวมถึงเกมส์ ละครดราม่าต่าง ๆ หยิบ ไปใช้กันอย่างแพร่หลาย


 ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%87

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กิจกรรมท้ายบทที่8

1.  "นาย A ทำการเขียนโปรแกรมขึ้นมาโปรแกรมหนึ่งเพื่อทดลองโจมตีการทำงานขอคอมพิวเตอร์สามารถใช้งานได้ โดยทำการระบุ IP-Address โปรแกรมนี้สร้างขึ้นมาเพื่อทดลองในงานวิจัย นาย B ที่เป็นเพื่อนสนิทของนาย A ได้นำโปรแกรมนี้ไปทดลองใช้แกล้งนางสาว C เมื่อนางสาว C ทราบเข้าก็เลยนำโปรแกรมนี้ไปใช้และส่งต่อให้เพื่อนๆ ที่รู้จักได้ทดลอง " การกระทำอย่างนี้ ผิดจริยธรรม หรือผิดกฎหมายใดๆ หรือไม่ หากไม่ผิดเพราะเหตุใด และหากผิด ผิดในแง่ไหน จงอธิบาย
  • ผิดเพราะทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนและผิดจริยธรรมมากๆ ทั้งต่อด้านตนเองและสังคม และผิดกฎหมาย ทางด้านการละเมิดลิทธิของนาย A

2.  "นาย J ได้ทำการสร้างโฮมเพจ เพื่อบอกว่าโลกแบนโดยมีหลักฐาน อ้างอิงจากตราต่างๆ อีกทั้งรูปประกอบ เป็นการทำเพื่อความสนุกสนาน ไม่ได้ใช้ในการอ้างอิงทางวิชาการใดๆ เด็กชาย K เป็นนักเรียนในระดับประถมปลายที่ทำรายงานส่งครูเป็นการบ้านภาคฤดูร้อนโดยใช้ข้อมูลจากโฮมเพจของนาย J " การกระทำอย่างนี้เป็น ผิดจริยธรรม หรือผิดกฎหมายใดๆ หรือไม่ หากไม่ผิดเพราะเหตุใด และหากผิด ผิดในแง่ไหนจงอธิบาย
  • ไม่ผิดจริยธรรมหรือกฎหมายใดๆทั้งสิ้นเพราะ นาย J แค่ต้องการทำเพื่อความสนุกสนานเท่านั้นไม่ได้คิดจะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนแต่อย่างใด

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กิจกรรมท้ายบทที่7

1. หน้าที่ของไฟร์วอลล์(Firewall)คือ
          เป็นตัวกรองข้อมูลสื่อสารระหว่างเขตที่เชื่อถือต่างกัน เช่น อินเตอร์เน็ต (อาจนับเป็นเขตที่เชื่อถือไม่ได้) และ อินทราเน็ต (เขตที่เชื่อถือได้) โดยการกำหนดกฎและระเบียบมาบังคับใช้โดยเฉพาะเรื่องของการดูแลระบบเครือข่าย ระดับโพรโทคอลของระบบเครือข่าย ความผิดพลาดของการปรับแต่งอาจส่งผลทำให้ไฟล์วอลมีช่องโหว่ อาจนำไปสู่สาเหตุของการโจรกรรมข้อมูลคอมพิวเตอร์ได้

2. จงอธิบายคำศัพท์ต่อไปนี้ ที่เกี่ยวข้องกับไวรัสคอมพิวเตอร์
          worm หมายถึง โปรแกรมซึ่งเป็นอิสระจากโปรแกรมอื่นๆ โดยขะแพร่กระจายผ่านเครือข่ายไปยังคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ที่อยู่บนเครือข่ายการแพร่กระจายจะคล้ายกับตัวหนอนที่เจาะไซหรือชอนไปยัะงเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆแพร่พันธุ์ด้วยการคัดลอกตนเองออกและส่งต่อผ่านเครือข่ายออกไป

3.ไวรัสคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
          มี2ชนิด ได้แก่ 1) Application viruses
                                    2) System viruses

4.ให้นิสิตอธิบายแนวทางในการป้องกันไวรัวคอมพิวเตอร์มาอย่างน้อย 5 ข้อ
  • องค์กรมีนโยบายการให้ผู้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทุกคนต้องเปลี่ยนรหัสผ่านบ่อยๆ หรืออย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
  • มีการกำหนดสิทธิให้ผู้ใช้ระบบเข้าใช้ระบบในส่วนที่จำเป็นเท่านั้น
  • องค์กรอาจมีการนำอุปกรณ์ตรวจจับทางชีวภาพมาใช้ในการควบคุมการเข้าใช้ระบบคอมพิวเตอร์
  • มีการเข้ารหัสข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์
  • มีระเบียบการปฎิบัติในการควบคุมอย่างชัดแจ้งในการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ

5.มาตรการด้านจริยธรรมคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมการใช้อินเตอร์เน็ตที่เหมาะสมกับสังคมปัจจุบันได้แก่
          เทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสาร (Information and Communication Technology:ICT) มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เพราะถือเป็นหัวใจสำคัญในการผลักดันประเทศเข้าสู่สังคมโลกาภิวัตน์ ซึ่งมีพื้นฐานแห่งการระดมสมอง ภูมิปัญญาและการเรียนรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง การที่เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีโทรคมนาคมในปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างต่อ เนื่องจนทำให้เกิด สภาพที่เรียกว่าพื้นที่ไซเบอร์ (Cyberspace) และโลกเสมือนจริง (Virtual World) นั้นมีผลทั้งในด้านดีและด้านเสีย ในด้านดีคือ เทคโนโลยีช่วยให้สังคมมีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การทำงานต่างๆมีความสะดวกและรวดเร็ว มีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น เป็นเครื่องมือในการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เพราะเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นได้ย่อโลกเราให้แคบลง ทุกสิ่งทุกอย่างเราสามารถค้นคว้าได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ในด้านการทำงานนั้นมันเป็นตัวช่วยที่ดีเลยทีเดียว เพราะมันช่วยให้เราประหยัดเวลาในการทำงาน มันเป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสารทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทางไป ติดต่อธุรกิจ นอกจากนี้มันยังมีประโยชน์อีกมากมายแต่ในด้านดีนั้นมันก็ยังมีด้านเสีย ประกอบอยู่ด้วยเพราะสภาพสังคมในปัจจุบันที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจะ เห็นว่ามี ปัญหาต่างๆมากมายที่เกิดตามมาจากการใช้งานอินเทอร์เน็ต เช่น คนในสังคมได้รับผลกระทบจากอัตราการจ้างงาน เมื่อมีการนำเอาระบบสารสนเทศมาใช้การจ้างงานจึงลดลง ทำให้คนขาดรายได้ และตกงาน เกิดอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ เช่น การโจรกรรมผ่านระบบออนไลน์ เว็บไซด์ลามก การล่อลวงทางเพศในโลกออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีอันตรายทางอ้อมจากเว็บไซด์อันตราย เช่น เกมส์ออนไลน์ที่อาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรงในหมู่เด็กๆ และการไม่รับผิดชอบต่อความผิดที่เกิดขึ้น เพราะยากในการสืบสวน สอบสวน เนื่องจากโลกไซเบอร์นั้นมันมีอยู่ทั่วทุกที่ ยากต่อการควบคุมให้อยู่ในกฎระเบียบ อีกทั้งมันยังส่งผลกระทบด้านภาษา เราพบว่ามีการใช้ภาษาที่สั้นกะทัดรัด เป็น คำที่ใช้เฉพาะกลุ่ม มีการใช้คำแผลง อาจส่งผลต่อการนำไปใช้ในชีวิตจริงๆพฤติกรรมของกลุ่มบุคคลที่ทำการสร้างข่าว สารเท็จก่อให้เกิดความวุ่นวายกับเว็บไซด์  การฉ้อโกง การล่อลวงทางเพศ อาชญากรรมทางธุรกิจ โดยผู้กระทำผิดนั้นล้วนแล้วแต่ดำเนินการผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพราะมันยากต่อการติดตามของเจ้าหน้าที่รักษาความเรียบร้อยบนพื้นที่ออนไลน์  ดังนั้นคุณธรรมและจริยธรรมในการทำกิจกรรมต่างๆ บนพื้นที่ไซเบอร์ คือ มาตรการหนึ่งที่จะเป็นปัจจัยในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว และเพื่อที่จะให้เกิดการพัฒนาอย่างเหมาะสมและยั่งยืนต่อไปได้
          แนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาบนพื้นที่ไซเบอร์
               1. มาตรการทางการบริหารหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจัง รวมทั้งต้องมีบุคลากรที่เหมาะสม และเพียงพอต่อการปฏิบัติงาน และในขณะนี้ทางภาครัฐได้มีการดำเนินนโยบายขยายการใช้อินเทอร์เน็ตไปสู่ สังคมระดับรากหญ้า หากไม่มีการระมัดระวังและเตรียมการที่ดีก็อาจเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมและ กิจกรรมที่ไม่เหมาะสมบนอินเทอร์เน็ตไปสู่รากหญ้าและเยาวชนในชนบท แต่หากมีการเตรียมการที่ดี ตำบลอาจใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อในการกระจายความเจริญทางเทคโนโลยีและกระจาย องค์ความรู้ใหม่ ๆไปสู่สังคมได้ ดังนั้นหน่วยงานดังกล่าวจะต้องมีการวางมาตรการที่เด็ดขาดในการควบคุมดูแล พื้นที่ไซเบอร์ มีนโยบายที่ชัดเจน มีประสิทธิภาพ
               2. มาตรการทางกฎหมาย หน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายต้องมีบุคลากรอย่างเพียงพอ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นอกจากกำหนดให้การกระทำอันมิชอบทั้งหลายบนอินเทอร์เน็ต เป็นความผิดที่ไม่ต่างจากการกระทำในโลกจริงแล้วยังพยายามแก้ไขเพิ่มเติม กฎหมาย เพิ่มอำนาจการสืบสวนสอบสวน เพื่อแสวงหาพยานหลักฐานให้กับเจ้าพนักงานของรัฐรวมทั้งกำหนดให้ผู้ให้บริการ อินเทอร์เน็ตที่เกี่ยวพันกับข้อมูลการใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหลายมีหน้าที่ตาม กฎหมายต้องจัดเก็บส่งมอบหรือให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงานเพื่อช่วยกันนำตัว ผู้กระทำความผิดมาลงโทษ
               3. มาตรการทางการควบคุมจรรยาบรรณ จะต้องมีเครือข่าย ที่มีการดูแล ผู้ประกอบอาชีพและทำกิจกรรมบนพื้นที่ไซเบอร์ ที่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างต่อเนื่องและจริงจัง ควรมีการป้องกันการชี้นำความคิดที่ผิดให้แก่คนในสังคม การที่ต้องมีการกระตุ้นให้เกิดสมาคมและเครือข่ายเพื่อดูแลกันเอง เพราะการเก็บข้อมูล หรือแสดงข้อมูล เพื่อแสดงตัวตน และความน่าเชื่อถือในขอบเขตเรื่องธุรกิจ และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ก็เพื่อให้สามารถยืนยันตัวตนของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น และองค์กร เครือ ข่าย สมาคม ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตยังสามารถช่วยเหลือคนในวงการอินเตอร์เน็ต ช่วยคนทำเว็บไซต์ ใช้สายสัมพันธ์ในการให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
               4. มาตรการทางสังคม ต้องยกระดับและพัฒนาสถาบันพื้นฐาน เช่น สถาบันครอบครัวสถาบันศาสนา สถาบันทางสังคม และสถาบันทางธุรกิจให้มีความรู้ ความสามารถด้านไอทีเพียงพอที่จะดูแลบุคคลในสถาบันของตน โดยที่ผู้นำองค์กรทางธุรกิจและสังคมต้องมีความรู้ทาง ไอทีเป็นอย่างดี
               5. มาตรการทางการศึกษา ควรพัฒนาการศึกษาระบบสารสนเทศและความรู้ไอทีให้กว้างขวาง รวมทั้งจัดทำหลักสูตรออนไลน์ ให้ครอบคลุมทุกสาขาวิชา ทั้งในและนอกระบบการศึกษา
               6. มาตรการทาง คุณธรรมและจริยธรรม ได้แก่ การจัดระบบการให้การศึกษาแก่ผู้ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ทางด้านคุณธรรมและ จริยธรรม เพื่อให้เขาเหล่านั้นเข้าไปชักนำโลกเสมือนจริงและการทำกิจกรรมบนพื้นที่ไซ เบอร์ไปในทางที่ถูกที่ควร

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กิจกรรมท้ายบทที่ 6

จงเลือกคำตอบที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว

1. การประยุกต์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ เป็นความหมายของข้อใด
          ตอบ=> เทคโนโลยีสารสนเทศ

2. เทคโนโลยีสารสนเทศใดก่อให้เกิดผลด้านการเสริมสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม?
          ตอบ=> ระบบการเรียนสอนทางไกล

3. การฝากอนเงินผ่าน ATM เป็นลักษณะเด่นของเทคโนโลยีสารสนเทศข้อใด?
          ตอบ=> ระบบอัตโนมัติ

4. ข้อใดคือการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ?
          ตอบ=>  ถูกทุกข้อ

5. เทคโนโลยีสารสนเทศหมายถึงข้อใด?
           ตอบ=> การนำเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์มาสร้างข้อมูลเพิ่มให้กับสารสนเทศ

6. เครื่องมือทีสำคัญในการจัดสารสนเทศในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศคืออะไร?
          ตอบ=>ถูกทุกข้อ

7. ข้อใดไม่ใช่บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ?
          ตอบ=> เทคโนโลยีทำให้การสร้างพักอาศัยมีคุณภาพ

8. ข้อใดไม่ใช่อุปกรณ์ที่ช่วยงานด้านสารสนเทศ?
          ตอบ=> เครื่องถ่ายเอกสาร

9. ข้อใกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ เทคโนโลยีสารสนเทศ?
          ตอบ=> ไม่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

10. ข้อใดคือประโยชน์ที่ได้จากการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้กับการเรียน?
        ตอบ=>  ถูกทุกข้อ

กิจกรรมท้ายบทที่ 5

1. จงอธิบายความหมายของการจัดการสารสนเทศ
           การจัดการสารสนเทศ หมายถึง การทำกิจกรรมหลักต่างๆในการจัดหา การจัดโครงสร้าง(Organization) การควบคุม ผลิต การเผยแพร่และการใช้สารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานขององค์การทุกประเภทอย่างมีประสิทธิผล ซึ่งสารสนเทศในที่นี้หมายถึงสารสนเทศทุกประเภทที่มีคุณค่าไม่ว่่าจะมีแหล่งกำเนิดจากภายในหรือภายนอกองค์การ โดยมีการนำเทคโนโลยีต่างๆโดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในการจัดการรวมทั้ง รวมทั้งมีนโยบายหรือกลยุทธ์ระดับองค์การในการจัดการสารสนเทศ

2. การจัดการสารสนเทศมีความสำคัญต่อบุคคลแต่ละองค์การอย่างไร
         2.1 ความสำคัญต่อบุคคล มีความสำคัญทั้งในด้านการดำรงชีวิตประจำวัน การศึกษา และการทำงานประกอบอาชีพต่างๆ บุคคลย่อมต้องการสารสนเทศหลายด้านเพื่อใช้ชีวิตอย่างราบรื่น มีความก้าวหน้า มีความทันต่อเวลา และมีความสุข เช่น การจัดการค่าใช้จ่ายของครอบครัว ของบุคคล การดูแลที่อยู่อาศัย ตลอดจนการเลี้ยงดูคนในครอบครัวให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถที่ทำคุณประโยชน์ต่อสังคม ด้านการศึกษา เช่น สามารถเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการศึกษา ติดต่อกับสถาบันการสึกาาในีะบบเปิดหรือเรียนทางระบบออนไลน์
         2.2 ความสำคัญต่อองค์การ
                1. ความสำคัญด้านการบริหารจัดการ
                2. ความสำคัญในด้สนการดำเนินงาน
                3. ความสำคัญด้านกฎหมาย

3. พัฒนาการของการจัดการสารสนเทศแบ่งออกเป็นกี่ยุค อะไรบ้าง
          แบ่งออกเป็น 2 ยุค ได้แก่
               3.1 การจัดการสารสนเทศด้วยระบบมือ เริ่มต้นเมื่อมีการสร้างอารยธรรมในการบันทึกความรู้ราว 2000-8000 ปีก่อนคริตศักราช ในระยะแรกใช้สื่อในรูปแบบสิ่งพิมพ์ เน้นการรวบรวมรายชื่อหนังสือ เรียงตามขนาดรูปเล่ม สี ลำดับ ตัวอัการ ผู้แต่ง ชื่อหนังสือ เลขทะเบียน ต่อมามีการจัดทำแบบแคตตาล็อก หรือ บัตรรายการหนังสือ 
               3.2 การจัดการสารสนเทศโดยใช้คอมพิวเตอร์ เกิดขึ้นเมื่อมีสารสนเทศปริมาณมากมาย รูปลักษณ์หลากหลายของคอมพิวเตอร์มีการพัฒนาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาต่อมามีการนำมาใช้พัฒนากลายเป็นระบบสารสนเทศในการทำงานเฉพาะด้านต่างๆ เช่น ใช้ระบบของคอมพิวเตอร์ในการคืนหนังสมอในห้องสมุด

4. จงยกตัวอย่างการจัดการสารสนเทศที่นิสิตใช้ในชีวิตประจำวันมา อย่างน้อย 3 ตัวอย่าง
           การอ่านหนังสือในเว็บไซน์
           การเก็บภาพหรือข้อมูลต่างๆไว้ในอีเมล
           การค้นหาข้อมูลต่างๆในเว็บไซน์

วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บทความที่2 ใบโคลเวอร์ 4 แฉก

ใบโคเวอร์' ปกติแล้วใบของต้นโคลเวอร์ทั่วไปจะมีเพียง 3 แฉก ซึ่งว่ากันว่า ในต้นโคลเวอร์หนึ่งพันต้นนั้น จะพบใบโคลเวอร์ 4 แฉกได้เพียงใบเดียวเท่านั้น โอกาสพบใบโคลเวอร์ 4 แฉกจึงเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากมาก





ใบ Clover 4 แฉก
         ต้นโคลเวอร์จัดอยู่ในพืชตระกูล trifolium repens โคลเวอร์เป็นต้นไม้ในคระกูลถั่ว  มักขึ้น   เป็นกลุ่ม และส่วนมากมีใบ 3 แฉก แต่มีบางใบที่มี 4 แฉก ซึ่งหาได้ยากมาก กลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีตั้งแต่เมื่อใดยังไม่มีใครทราบแน่ชัด แต่มีบันทึกไว้ชัดเจนในยุคกลางของยุโรปประมาณ คริสต์ศวรรษที่ 17 ซึ่งกล่าวเอาไว้ว่า เป็นวัฒนธรรมเคลติก ( celtic ) ที่พูดถึงใบโคลเวอร์สีขาว ว่า 'เป็นเครื่องหมายโชคลางถึงความโชคดีของชาวเคลต์ ซึ่งเป็นชนชาติดั้งเดิมในแคว้นเวลส์ (ชนชาติดั้งเดิมของประเทศอังกฤษในปัจจุบัน)
ฟิลิปปา วอริ่ง ได้เขียนถึงความเชื่อเกี่ยวกับใบโคลเวอร์เอาไว้ว่า หากพบใบโคลเวอร์ 4 แฉก เป็นความหมายว่าจะได้พบกับรักแท้ และในวันเดียวกันนั้น ถ้ามอบ
ใบโคลเวอร์ 4 แฉกให้กับใคร ก็จะได้พบกับความโชคดีแบบคาดไม่ถึง แม้ในยามสงคราม หากนักรบประดับใบโคลเวอร์ 4 แฉกไว้บนปกเสื้อ มันจะช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัยได้ ...
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า การเสาะหาใบโคลเวอร์หนึ่งพันต้น มีโอกาสจะพบใบโคลเวอร์ 4 แฉกแค่เพียงใบเดียวเท่านั้น และหากโชคดีเช่นนั้น คุณก็ควรเก็บรักษามันไว้ให้ดีที่สุด เพราะนี่อาจเป็นครั้งเดียวในชีวิต และคุณอาจจะไม่มีโอกาสเห็นมันอีกเลยก็ได้
ในทุกวันนี้บรรดาเครื่องรางนำโชคต่างๆ มากมายก็นิยมทำเป็นรูปจำลอง ซึ่งใบโคลเวอร์ก็เช่นกัน ได้มีการจัดทำเป็นใบจำลอง 4 แฉกเพื่อเป็นเครื่องรางมงคลประจำตัว หลายคนเชื่อกันว่า หากมีมันไว้ในครอบครองแม้เพียงใบเดียวหรือชิ้นเดียว ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เดินทางไกล ก็จะพบแต่ความโชคดีตลอดไป........     
ใบโคลเวอร์สี่กลีบ แค่มองคุณก็รู้สึกว่าโชคดีแล้วใช่ไหม
 เช่นนั้นแล้ว ในตะวันตกจึงมีความเชื่อว่าหากใครพบโคลเวอร์สี่กลีบ จะประสบโชคดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะทั้งหายากและมีความหมายเกี่ยวกับโชคนั่นเอง และยังถือเป็นเครื่องรางชนิดหนึ่งเลยทีเดียว  และยังว่ากันว่า วงแหวนหรือมงกุฎที่ร้อยจากดอกโคลเวอร์สามกลีบธรรมดานั้น แทนคำมั่นสัญญาจากชายหนุ่มให้หญิงสาวในทางตะวันตกด้วยเพราะกลีบที่สามกล่าวถึง  นั่นคือ...ความรัก 
เพราะความเชื่อที่ว่า มี โคลเวอร์ 4แฉกแล้วจะโชคดี จึงมีการใช้ โคลเวอร์ 4 แฉก มาทำเป็นของที่ระลึก เครื่องประดับ อย่างพวงกุญแจ,สร้อยคอ,สร้อยข้อมือ และแหวน
จุกปิดกันฝุ่นI-phone จากใบClover
จี้ที่ทำเป็นรูปใบClover

ที่ห้อยโทรศัพท์ ทำเป็นเครื่องรางจากใบClover
        โคลเวอร์ ใบไม้ใบเล็กๆ ที่ว่ากันว่าจะนำโชคดีมาสู่ผู้ที่ครอบครองมัน
             ความหายากของโคลเวอร์ 4 แฉกทำให้เกิดความเชื่อว่ามันเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคและผู้คนก็ใช้มันเป็นเครื่องรางนำโชคดีมาสู่ตน มีเรื่องเล่าว่าถ้าผู้หญิงคนใด

แขวนใบโคลเวอร์ 4 แฉกไว้เหนือประตู ผู้ชายที่เดินผ่านประตูมาจะกลายเป็นสามีของเธอคนนั้น

แฉกทั้ง 4 ของโคลเวอร์ต่างก็มีความหมาย
แฉกแรก คือความหวัง ( Hope )
แฉกที่สอง คือความเชื่อมั่นและศรัทธา ( Faith )
แฉกที่สาม คือความรัก ( Love )
 และแฉกสุดท้าย คือโชคดี ( Luck )

อ้างอิงข้อมูลจาก  http://board.postjung.com/616633.html