วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

บทความที่ 4 มนุษย์ต่างดาว

มนุษย์ต่างดาว(Alien) เป็นสิ่งที่เชื่อว่าอาจมีอยู่จริงแต่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ ลักษณะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกโลก ซึ่งในความคิดของคนส่วนใหญ่ มักจะวาดภาพ มนุษย์ต่างดาว ลักษณะคล้ายคนแต่ ตัวเขียว หัวโต ตาโต เคยมาเยือนโลกโดยมากับ จานบิน
สิ่งมีชีวิตต่างดาว   และ terrestris  ถูกกำหนดให้เป็นชีวิตที่ไม่ได้เกิดจากโลก มันมักจะหมายถึง สิ่งมีชีวิตต่างดาว หรือเรียกเพียงว่า มนุษย์ต่างดาว (หรือมนุษย์ต่างดาวในอวกาศเพื่อให้แตกต่างจากคำจำกัดความอื่น ๆ ของมนุษย์ต่างภิภพหรือมนุษย์ต่างดาว) รูปแบบชีวิตเหล่านี้ตามสมมติฐานของชีวิตช่วงระยะเริ่มจากสิ่งมีชีวิตจำพวกแบคทีเรียขั้นพื้นฐานเหมือนสิ่งมีชีวิตที่เรียบง่ายไปไกลจนถึงขั้นที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเกินกว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า มนุษย์
สมมติฐานหลายข้อได้รับการเสนอเกี่ยวกับพื้นฐานที่เป็นไปได้ของชีวิตต่างดาวจากมุมมองทางชีวเคมี วิทวัทนาการ หรือลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ทางชีวเคมี
ทุกชีวิตบนโลกนั้นมีพื้นฐานอยู่บนองค์ประกอบทางเคมี 26 ชนิด อย่างไรก็ดี, ประมาณ 95% ของชีวิตนี้ถูกสร้างขึ้นอยู่กับองค์ประกอบเพียงหกอย่างเหล่านี้ คือ คาร์บอน  ไฮโดรเจน ไนตรเจน ออกซิเจน ฟอสฟอรัสและกัมมะถัน อักษรย่อคือ CHNOPS ทั้งหกองค์ประกอบเหล่านี้เป็นรูปแบบของการสร้างบล็อกขั้นพื้นฐานของแทบทุกชีวิตบนโลกในขณะที่ส่วนใหญ่ขององค์ประกอบที่เหลือจะพบในปริมาณเพียงเล็กน้อย
ประเภทของมนุษย์ต่างดาว
ได้มีการแบ่งประเภทตามลักษณะของผู้ที่อ้างว่าได้พบเจอมนุษย์ต่างดาวไว้ ดังนี้
·         เกรย์ (Grey) หมายถึง สีเทา โดยประเภทนี้พบบ่อยที่สุด มีลักษณะหัวโต ตาโตสีดำ รูปร่างคล้ายมนุษย์ ไม่มีขน นิ้วทุกนิ้วเรียวยาว ผิวหนังสีเทา จึงเป็นที่มาของชื่อ สื่อสารกันด้วยการใช้โทรจิต
grey

·         อเลสเฮนกา (Aleshenka) ตั้งตามชื่อหมู่บ้านแห่งหนึ่งในรัสเซีย ค้นพบเมื่อปี พ.ศ.2539 โดยหญิงสติไม่สมประกอบผู้หนึ่ง มีการบันทึกการพบเจอไว้ด้วยเทปของตำรวจ แต่ภายหลังพบว่าแท้จริงแล้วเป็นเพียงตัวอ่อนของมนุษย์เท่านั้น
Aleshenka

·         กึ่งมนุษย์กึ่งสัตว์เลื้อยคลาน (Reptilian humanoid) ตัวสีเขียว รูปร่างคล้ายมนุษย์ มี 2 ขา แต่มีผิวหนังและลักษณะคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน


·         ดรอป้า (Dropa) ตัวเล็กมาก ก่อนหน้านี้มีหลักฐานว่าเคยพบบริเวณพรมแดนจีน-ธิเบต ราว 1 หมื่นปีก่อน แต่ต่อมาพบว่าเป็นหลักฐานเท็จ และเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องกุขึ้น

·         คล้ายหุ่นยนต์ (Robot) รูปร่างคล้ายหุ่นยนต์ในภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ เนื้อตัวเป็นโลหะ ขนาดค่อนข้างใหญ่
·         คล้ายวิญญาณ (Soul) ม่มีกายเนื้อ สีขาว คล้ายผีหรือวิญญาณ (ตามคำบอกเล่าของ ศ.ดร.น.พ.เทพพนม เมืองแมน)
·         นอร์ดิก (Nordics) รูปร่างเหมือนคน สูง 6-7 ฟุต ดวงตาสีฟ้า

การเผชิญหน้ากับมมนุษย์ต่างดาว
ได้มีการแบ่งประเภทการเผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาวไว้ 5 ระดับ คือ
·         การเผชิญหน้าระดับที่หนึ่ง (Close Encounters of the First Kind) หมายถึง การได้พบปะหรือเจอะเจอกับจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวในระยะที่ไกลห่างออกไป เช่น จานบินลอยอยู่บนท้องฟ้า หรืออยู่ห่างจากผู้ที่พบเจอในระยะ 50 หลา เป็นต้น
·         การเผชิญหน้าระดับที่สอง (Close Encounters of the Second Kind) หมายถึง การพบปะกับจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวคล้ายกับการเผชิญหน้าระดับที่หนึ่ง แต่อยู่ในระยะที่ใกล้ขึ้น เช่น อาจพบจานบินที่จอดอยู่บนพื้น เป็นต้น
·         การเผชิญหน้าระดับที่สาม (Close Encounters of the Third Kind) หมายถึง การได้เข้าไปในจานบินจะด้วยสาเหตุใดก็ตามแต่สามารถจดจำประสบการณ์ได้และสามารถออกมาได้ ในปี 1977 ได้เอาชื่อนี้มาสร้างหนังเรี่อง มนุษย์ต่างโลก
·         การเผชิญหน้าระดับที่สี่ (Close Encounters of the Fourth Kind) หมายถึง การที่ถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไป อาจจะถูกทดลองด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา แต่สามารถจดจำประสบการณ์ได้และออกมาได้
·         การเผชิญหน้าระดับที่ห้า (Close Encounters of the Fifth Kind) หมายถึง การที่มีการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวในระดับที่เป็นกิจจะลักษณะ สามารถสื่อสารกันได้ความระหว่างมนุษย์โลกกับมนุษย์ต่างดาว

มนุษย์ต่างดาวในประเทศไทย
สำหรับในประเทศไทย มีสถานที่แห่งหนึ่งที่มีผู้อาศัยอยู่ที่นั่นอ้างว่า พบเจอสิ่งประหลาดคล้ายจานบินบินไป บินมา อยู่บ่อยครั้ง คือที่ เขากะลา จ.นครสวรรค์ ถึงขนาดมีการจัดตั้งชมรมหรือสมาคมขึ้นมาในท้องถิ่นเพื่อศึกษาทางด้านนี้โดยเฉพาะเลยทีเดียว
                          ซึ่งชาวต่างประเทศที่ ทำงาน วิจัย ติดตามเกี่ยวกับ มนุษย์ต่างดาว ก็จะติดต่อ กับทีมงานที่นี้ และมีการ พิสูจน์อยู่เรื่อยๆโดย ค้นพบว่า ที่เขากะลา ใน นครสวรรคื นั้น เป็นประตูมิติ (รูหนอน) ที่ใหญ่ มี สามที่ในโลก หนึ่งในนั้นอยุ่ในไทย  (แต่ ที่อื่นก็มีแต่เจอไม่บ่อยเท่า เขากะลา)  ก่อนหน้าที่จะรู้ว่ามีมุษย์ต่างดาว นั้น   ชาวบ้านแถบนั้น จะเห็น แสงไฟบนยอดเขา ตอนกลางคืน เป็นประจำ  ซึ่งนั้นก็คือ การเปิด ประตูมิตินั่นเอง และต่อมา มีชายชรา สามารถนั่งสมาธิ ติดต่อกับ มนุษย์ต่างดาวได้  โดยตอนแรกเรียกออกมาให้คนในครอบครัวได้เห็นก่อน  หลังจากนั้นก็เริ่มมีการติดต่อมาตลอด โดยทางสามธิ  (เพราะ มนุษย์ต่างดาวมีจิตและอารยธรรมที่สูงพัฒนาแล้วนั่นเอง)  และ มีการพิสูจน์โดยการเรียกออกมาหลายต่อหลายครั้ง  แบบเห็น ใกล้ๆเลย  แต่แปลกคือ เขาจะไม่ลงมา (เพราะอากาศในโลกมนุษย์ มีพิษสูง ถ้าลงมาก็ต้องใส่ชุดเหมือน ชุด อวกาศ )และมีการพิสูจน์ครั้งใหญ่  โดยครั้งนั้นมีผุ้เชี่ยวชาญมาจากอเมริกา และผุ้ที่สนใจด้านนี้ มาจากหลายๆประเทศ ตอนนั้นเรียกออกมาได้ประมาณเกือบ 20 ลำ (ทุกครั้งที่ติดต่อจะนัดวันเวลามา  โดยบอกผ่าน คุณตาที่นั่งสมาธิ  ซึ่ง ทุกๆครั้งก็มาตามกำหนดเวลาโดยคลาดเคลื่อนไป ไม่มากนัก)
ครั้งนั้น มีสมเด็จพระเทพของชาวไทยเรา เข้าร่วมด้วย  โดยปรากฏฝูงจานบิน สิบกว่าลำ บินมาปรากฏอย่างรวดเร็ว  และให้เห็นหลายนาทีก่อนที่จะหายไปเร็วกว่าแสง   ซึ่งผุ้คนที่มาดูเป็นหมื่นคน ได้เห็นเหมือนกันหมด ตอนนี้ชายท่านนั้นเสียชีวิตไปนานแล้ว   แต่ก็ได้สอนลูกสาวของตน ที่เป็นถึงข้าราชการ  ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว   และจัดตั่งกลุ่ม ประสานงาน UFO เขากะลา ขึ้นมา


เครดิต

บทความที่ 3 ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง

ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง (九尾の妖狐, คิวบิโนะโยโกะ) ปีศาจในตำนานญี่ปุ่น คำว่า
  • คิว () หมายถึง เก้า
  • บิ () หมายถึง หาง
  • โยโกะ ( 妖狐) หมายถึง ปีศาจจิ้งจอก

โดยสามารถหมายถึง คิทซึเนะ () - จิ้งจอกในนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่นมีพลังพิเศษต่างๆ
ตามตำนาน ปิศาจจิ้งจอกเก้าหางมีที่มาจากอินเดีย, จีน และญี่ปุ่น ซึ่งมีนัยว่าเป็นปิศาจตนเดียวกัน คาดว่าน่าจะเป็นเรื่องของการสืบทอดวัฒนธรรมจากอินเดียไปยังจีนตามเส้นทางสายไหม และไปยังญี่ปุ่นโดยการเผยแพรทางวัฒนธรรม
การกำเนิดจิ้งจอกเก้าหาง
ตามตำนานกล่าวไว้ว่า จิ้งจอกเก้าหางเกิดจากปีศาจจิ้งจอกที่บำเพ็ญตบะเป็นเวลานานนับปี เมื่อมีอายุครบ 1000 ปี ปีศาจจิ้งจอกตนนั้น จะกลายเป็นปีศาจจิ้งจอก 9 หาง ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นจะมีพลังและวิชาอาคมที่แก่กล้ามาก และสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้
จิ้งจอกเก้าหางของอินเดีย
ตามเรื่องเล่าที่กล่าวถึงในนิทานพื้นบ้านของชาวอินเดีย มีการกล่าวถึง สัตว์ที่มีรูปร่าง จิ้งจอกผสมงู มีลักษณะเป็นนรสิงห์ เพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงหน้า บายนเทวลัย
จิ้งจอกเก้าหางของจีน
มีปรากฏอยู่ในตำนานเรื่อง ห้องสิน” ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับไสยศาสตร์ และภูตผีปิศาจ เรื่องราวมีอยู่ว่า พระเจ้าโจ้วหวาง(ติวอ๋อง) แห่งราชวงศ์ซางได้ไปสักการะเจ้าแม่หนี่วาในวิหารของเจ้าแม่ ตามปกติ รูปเคารพเจ้าแม่จะมีผ้าแพรบางๆ กั้นใบหน้าอยู่ บังเอิญขณะนั้นมีลมพัดผ่านมา ทำให้ผ้าแพรเปิดออก โจ้วหวางได้เห็นใบหน้ารูปเคารพของเจ้าแม่หนี่วางดงามยิ่งนัก จึงออกปากมาว่า เจ้าแม่งดงามขนาดนี้ หากได้มาเป็นมเหสีน่าจะดี เมื่อเจ้าแม่หนี่หวาได้ยินดังนั้น จึงกริ้วมาก รับสั่งให้ปิศาจจิ้งจอกเก้าหาง ปิศาจพิณ และปิศาจไก่ มาทำให้โจ้วหวางเกิดความลุ่มหลงจนบ้านเมืองล่มสลายเพื่อเป็นการลงโทษ แต่อย่าให้ราษฎรต้องเป็นอันตราย
เจ้าแม่หนี่วา

ในขณะนั้น มีนางงามนางหนึ่ง นามว่า ต๋าจี่ ลูกสาวของเจ้าเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งถูกส่งตัวเข้าวังเพื่อเป็นพระสนมของโจ้วหวาง ต๋าจี เป็นหญิงสาวที่มีรูปโฉมโนมพรรณงดงามมาก แต่หญิงงามมักอาภัพนัก จิ้งจอกเก้าหางได้แอบลอบฆ่าต๋าจี และสวมรอยเป็นต๋าจีเสียเองเพื่อลักลอบเข้าวัง
เมื่อโจ้วหวางได้พบต๋าจีก็รู้สึกพึงพอใจในตัวต๋าจีเป็นอย่างมาก เนื่องจากต๋าจีมีรูปโฉมงดงามราวกับเจ้าแม่หนวี่วา กิริยาวาจาไพเราะอ่อนหวานราวกับเทพธิดามาแต่สรวงสวรรค์ชั้นฟ้า ยากที่จะหาหญิงใดในแผ่นดินเสมอเหมือน จิ้งจอกเก้าหางจึงได้เริ่มการทำให้โจ้วหวางลุ่มหลงในตัวนาง ซึ่งไม่ได้เป็นการยากเย็นกระไรเลย เพราะนอกจากมีความงดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยังสามารถร้องเพลง และเล่นดนตรีได้ไพเราะ อีกทั้งร่ายรำได้งดงาม ทำให้โจ้วหวางนานวันก็ยิ่งลุ่มหลงนางจนถอนตัวไม่ขึ้น และนางก็ได้ส่งเสริมให้โจ้วหวางทำแต่เรื่องชั่วร้าย ฆ่าคนเหมือนผักเหมือนปลาอยู่เสมอมา
ในที่สุดจิ้งจอกเก้าหางในร่างตาจี๋ ก็ได้ยุให้โจ้วหวางสร้างหอสอยดาวขึ้น ยังความทุกข์ยาก และนำมาซึ่งความตายแก่ราษฎรจำนวนมากมายมหาศาลที่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานมาสร้างหอสอยดาวนี้
แต่ในที่สุด ปิศาจทั้งสามก็ถูก เจียงจื่อหยา ซึ่งได้ฝึกวิชาบนภูเขาจนกลายเป็นผู้วิเศษ ได้รับบัญชา เทียนมิ่ง นักรบจากสวรรค์ให้มาปราบทุกข์เข็ญของเหล่าราษฎร พร้อมทั้ง นาจาศิษย์เอก
ปิศาจทั้งสามถูกจับตัวไปให้เจ้าแม่หนวี่วา ตัดสินโทษ จิ้งจอกเก้าหางเห็นว่าตนสามารถทำงานที่เจ้าแม่มอบหมายให้ ทำไมจึงยังมีโทษอีก เจ้าแม่หนวี่วากล่าวว่าได้ใช้ให้ไปทำลายแต่เพียงโจ้วหวางเท่านั้น หาได้สั่งให้ไปเข่นฆ่าผู้คนมากมายเช่นนี้ไม่ การทำเกินกว่าคำสั่งแบบนี้จำต้องถูกลงโทษ ทั้งปิศาจพิณ และปิศาจไก่จึงถูกลงโทษให้ตายตกไปตามกัน ส่วนจิ้งจอกเก้าหางนั้นหลบหนีการลงโทษไปได้
จิ้งจอกเก้าหางของญี่ปุ่น
ในตำนานของญี่ปุ่นได้กล่าวถึงจิ้งจอกเก้าหางว่า เป็นปิศาจที่หลบหนีมาแฝงตัวอยู่ในราชสำนักของญี่ปุ่นในรัชสมัยของจักรพรรดิโทบะ หลังจากที่หลบหนีมาจากอินเดีย และจีนมาแล้ว โดยแฝงตัวมาในร่างของหญิงงามนามว่า ทามาโมะ มาเอะ พระสนมของจักรพรรดิโทบะ นางทำให้จักรพรรดิโทบะลุ่มหลงในความงามของนาง และสุขภาพของจักรพรรดิโทบะก็ทรุดโทรมลงทุกวัน จึงได้มีการอัญเชิญนักพรตจากหอองเมียวมาทำพิธีปัดรังควาน พบว่าในวังมีปิศาจจิ้งจอกเก้าหางสีทองแฝงตัวอยู่
เมื่อความแตก ทามาโมะ มาเอะ จึงได้คืนร่างเป็นจิ้งจอกสีทองตัวมหึมา มีเก้าหาง เหาะหลบหนีไปบนท้องฟ้า กองทหารของจักรพรรดิโทบะได้ไล่ตามไปจนถึงที่ราบสูงนาสุ และต่อสู้กับปิศาจจิ้งจอกเก้าหาง และสามารถสยบจิ้งจอกเก้าหางลงได้ กลายเป็นหินซ็ทโชเซกิ ซึ่งกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นมาจนปัจจุบันนี้
                ว่ากันว่า ทามาโมะมาเอะ เป็นหญิงงามที่ฉลาดล้ำ กลิ่นกายหอมหวนดั่งกลีบซากูระแรกแย้ม และอาภรณ์ไร้รอยยับ (ยุคสมัยในบันทึกตรงกับเฮอัน คาดว่า เสื้อผ้าคงจะเป็น จูนิฮิโตะ 12 - 20 ชั้น แบบนางในราชสำนัก ) ผู้ชาย รวมถึง พระจักพรรดิ์ถึงกับหลงไหล หัวปักหัวปำ
ถือว่าเป็นปีศาจชื่อดัง ที่วรรณกรรม จีน ญ๊่ปุ่น รวมถึงเกมส์ ละครดราม่าต่าง ๆ หยิบ ไปใช้กันอย่างแพร่หลาย


 ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%87